วันพุธที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2559

จงทำบุญในขณะที่ชีวิตมีความสุข


จงทำบุญในขณะที่ชีวิตมีความสุข
    จงทำบุญให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา เสียตั้งแต่ดวงยังไม่ตกหรือยังไม่มีความทุกข์ เพราะบุญ เมื่อทำในขณะที่จิตใจผ่องใสย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก ดังนั้นในขณะที่เราท่านทั้งหลายมีชีวิตที่ปกติสุข จงอย่าประมาท ควรให้ทาน รักษาศีล เจริญจิตตภาวนาเสียให้มั่นเหมาะ เพราะในยามที่ดวงตกหรือกำลังมีความทุกข์ ทำบุญไม่ได้อานิสงส์เร็วหรือไว หรือแทบไม่เห็นผลเลย เพราะอะไร ? เพราะในขณะนั้นจิตใจเศร้าหมอง หดหู่ ไม่มีกำลังที่จะทำให้ปีติ ปราโมทย์ในบุญที่ทำเกิดขึ้นมีกำลังมากพอ ดังนั้นทานก็ดี ที่ทำแล้ว ย่อมได้ผลน้อย มีอานิสงส์น้อย เพราะใจมัวไปผูกพันกับเรื่องที่เศร้า เสียใจ ในขณะนั้น ดังนั้นชีวิตควรตั้งอยู่ในความไม่ประมาท เพราะช่วงชีวิตคนบางคนก็เกิดจุดหักเหของชีวิตอย่างรวดเร็ว พลิกผัน เหมือนตกจากยอดเขาลงสู่เหวลึก  เพราะอกุศลวิบากบางอย่างที่ทำไว้ในอดีตตามมาให้ผล หากไม่มีเสบียงคือบุญกุศลที่ทำไว้แล้วเข้าอุดหนุน ผู้นั้นย่อมประสบทุกข์นาน หรืออาจจะไม่สามารถทรงชีวิต ลมหายใจอยู่ได้ 

         ดังนั้นจงหมั่นทำบุญด้วยการบริจาคทรัพย์หรือสิ่งของ อาหาร แก่คนยากจน คนที่ตกทุกข์ได้ยาก ผู้ประสบภัย หรือสัตว์ต่างๆ เป็นทานกุศล เป็นทานบารมี ทานเป็นเหตุที่ทำให้เกิดโภคสมบัติ เหมือนเสบียงในการเดินทางอยู่ในวัฏฏะสงสาร ทำให้บริบูรณ์ด้วยอาหาร และทรัพย์เครื่องปลื้มใจ
         ศีลเป็นดั่งเสื้อเกราะ ที่คุ้มครองตนไม่ให้ตกไปสู่โลกที่ชั่ว มีอบายภูมิทั้ง ๔ 
         ส่วนภาวนา จะเป็นสมถะหรือวิปัสสนาก็ดี เหมือนอาวุธ ที่คอยข่มหรือประหาณกิเลส 
         ทั้งสามนี้ควรทำให้มาก เจริญให้มากตั้งแต่ในสมัยที่เรายังไม่มีทุกข์ ไม่มีภัยเบียดเบียน อย่าทำบุญเอาเมื่อยามร้าย หรือในขณะที่จิตใจเศ้ราหมอง ท้อแท้เลยนะครับ