วันเสาร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ทำกุศลอย่างไรจึงจะไม่อดอยาก

ทำกุศลอย่างไรจึงจะไม่อดอยาก
          ถามว่า  ทำกุศลอย่างไร จึงจะทำให้มีโภคทรัพย์ ไม่อดอยาก 

          ตอบ  ปัญหานี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแก่สุภมาณพ บุตรของโตเทยยพราหมณ์ในจูฬกัมมวิภังคสูตร ม.อุปริ. ว่า

          บุคคลบางคนในโลกนี้จะเป็นหญิงก็ตาม เป็นชายก็ตาม เป็นผู้ให้ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่อาศัย เครื่องตามประทีปแก่สมณะพราหมณ์ เขาตายไปจะเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เพราะกรรมคือการให้ข้าวน้ำเป็นต้นนั้น หากตายไปไม่เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ มาเกิดเป็นมนุษย์ ณ ที่ใดๆ ในภายหลัง จะเป็นผู้มีโภคะมาก นี้เป็นผลของทานคือการให้ข้าวให้น้ำเป็นต้นนั้น 

          สรุปได้จากพระพุทธดำรัสนี้ว่า ทานคือการให้ปันสิ่งของที่เป็นประโยชน์แก่ผู้รับ มีข้าวน้ำเป็นต้นนั่นเอง ทำให้เขาเป็นคนมีโภคะมากในชาติต่อไป ความจริงในชาตินี้ ถ้าเราเป็นผู้มีใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่มิตรสหาย หรือคนบ้านใกล้เรือนเคียง มีอะไรแบ่งปันให้กัน มิตรสหายหรือคนบ้านใกล้เรือนเคียงนั้น เขาก็แบ่งปันของของเขาให้แก่เราเหมือนกัน ทั้งๆ ที่เวลาให้เราก็ไม่เคยหวังผลตอบแทนเลย คือให้ด้วยน้ำใจ ให้ด้วยความนับถือ มิได้คิดที่จะได้สิ่งตอบแทน แต่เพราะความมีน้ำใจของเรา เราก็ได้รับความมีน้ำใจจากผู้อื่นเช่นกัน ทั้งนี้เพราะการให้เป็นการผูกไมตรีต่อกัน ทั้งผู้ให้ย่อมเป็นที่รักของผู้รับเสมอ
          ในทางตรงข้าม ถ้าเรามีแต่ความตระหนี่ ให้อะไรใครก็ไม่ได้ เสียดายหวงแหนไปหมด ผลที่ได้รับก็คือความอดอยากยากจน ไม่มีใครต้องการคบหาสมาคมด้วย เราไม่เคยมีของไปให้ใครเลยแล้วจะมีใครเขาเอาของมาให้เราเล่า ในเมื่อเราไม่เคยผูกมิตรไมตรีกับใครเลย เพราะฉะนั้นผู้ที่ตระหนี่หวงแหน ตายไปแล้วจะมักเกิดเป็นเปรตได้รับความลำบาก อดอยาก หิวโหยอยู่เสมอ ต้องรอเวลาที่มีผู้ทำบุญอุทิศไปให้จากโลกมนุษย์นี้เท่านั้น จึงจะบรรเทาความหิวโหย ได้อิ่มหนำกันทีหนึ่ง เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ต้องการอดอยาก ก็ไม่ควรตระหนี่หวงแหน

          อีกประการหนึ่ง นอกจากทานจะให้ผลทำให้เป็นผู้มีโภคะมากแล้ว แม้ศีลคือการรักษาศีลก็สามารถให้โภคสมบัติเช่นเดียวกัน พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ผู้มีศีลย่อมได้รับโภคทรัพย์ใหญ่ เพราะความไม่ประมาทเป็นเหตุ การรักษาศีลด้วยความสำรวมระวังไม่ล่วงละเมิด ชื่อว่ารักษาศีลด้วยความไม่ประมาท การรักษาศีลด้วยความไม่ประมาท นี่แหละเป็นเหตุให้ได้รับโภคทรัพย์ใหญ่ ทั้งนี้เพราะผู้มีศีลตายแล้วย่อมเกิดในสุคติโลกสวรรค์ ก็สมบัติในสวรรค์นั้นเมื่อเทียบกับสมบัติในเมืองมนุษย์แล้ว ย่อมเทียบกันไม่ได้เลย 

          เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ผู้มีศีลย่อมได้รับโภคทรัพย์ใหญ่ ซึ่งหมายถึงสมบัติอันมโหฬารในสวรรค์นั่นเอง นั่นเป็นเรื่องของการได้รับผลในชาติหน้า ส่วนผลในชาตินี้ของผู้มีศีลในข้อนี้ก็มีอยู่ แต่ไม่อาจเทียบกับผลที่ได้รับในชาติหน้าได้เท่านั้นเอง
          ไม่ต้องดูอื่นไกล ลองสังเกตุดูพระภิกษุทั้งหลายที่ท่านมีลาภสักการะมาก แล้วจะเห็นว่า ท่านเป็นผู้มีศีลทั้งสิ้น ไม่มีใครที่ต้องการทำบุญกับพระทุศีล


          สรุปว่า ทั้งทานและศีลเป็นเหตุให้ร่ำรวยไม่อดอยาก


http://www.84000.org/tipitaka/book/nana.php?q=14
________________________________________
ที่มา อ้างอิง และแนะนำ :-

          พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๔  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๖

          มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์

          จูฬกัมมวิภังคสูตร
http://www.84000.org/tipitaka/book/v.php?B=14&A=7623&Z=7798


          พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๐  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒

          อานิสงส์แห่งศีลสมบัติของคนมีศีล ๕ ประการ
http://www.84000.org/tipitaka/read/?10/80



          หมวดหนังสือธรรมะ

          เรื่อง ทานที่มีผลมาก มีอานิสงส์มาก
http://www.84000.org/tipitaka/book/bookpn01.html


          เรื่อง ศีลเป็นอาภรณ์อันประเสริฐ
http://www.84000.org/tipitaka/book/bookpn02.html

วันพุธที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2559

แก้กรรมให้พ้นทุกข์

แก้กรรมให้พ้นทุกข์
          ว่าโดยหลักกรรมในพระพุทธศาสนาแล้ว แก้กรรมคงไม่มี ขึ้นชื่อว่ากรรมอันสำเร็จพร้อมด้วยเจตนาแล้วย่อมมีผลผลิตเป็นวิบาก เพราะมีเจตนาเป็นตัวทำให้เกิดการกระทำ เมื่อกระทำกรรมสำเร็จแล้ว ย่อมให้ผลตามชนิดของกรรมที่ได้ทำไว้ ถ้าทำดีเรียกว่า กุศลกรรมหรือบุญ ถ้าทำชั่วเรียกว่าอกุศลกรรมคือบาป ไม่มีใครหลีกเลี่ยงกรรมได้ แม้พระพุทธองค์ยังทรงต้องรับผลของกรรมที่ทรงทำไว้แล้วฉันใด แล้วเราท่านทั้งหลายเป็นใครจะหลีกเลี่ยงกรรมที่ตนทำไว้ได้เล่า แม้ในเวลาจวนจะปรินิพพานเต็มที ผลของกรรมที่ท่านทำไว้ยังทำให้พระองค์ต้องอดน้ำไม่ได้ฉันน้ำเลย ต้องได้รับทุกขเวทนา

            ถึงแม้ว่ากรรมที่ทำแล้วแก้ไขไม่ได้ก็ตาม ยังมีหลักการทำบุญหรือการทำกุศลบางอย่างที่พอที่จะช่วยได้ ที่มีมาในพระพุทธศาสนาคือ
       
          ๑.ทาน หรือการทำบุญด้วยวัตถุ สิ่งของ เป็นต้น จนถึงที่สุดคืออภัยทาน ขึ้นชื่อว่า "ทาน" โดยมากเป็นการสละวัตถุ สิ่งของ ให้แก่บุคคลที่ควร มีพระสงฆ์เป็นต้นเป็นที่สูงสุด การให้ทานที่ถึงพร้อมด้วยกาลสาม เป็นการทำบุญที่มีผลมาก มีอานิสงส์มาก คือในขณะก่อนให้เป็นผู้มีศรัทธาเชื่อในกรรมและผลของกรรมจึงให้ทาน ในเมื่อขณะที่กำลังทำมีความเคารพในการให้ทาน และเมื่อทำทานเสร็จแล้ว มีใจอิ่มเอิบในบุญที่ได้ทำแล้ว คิดถึงเมื่อไรก็มีใจปีติปราโมทย์ ทานที่ถึงพร้อมด้วยกาลสามนี้จัดเป็นทานที่สำเร็จผลดีที่สุด ให้ผลมาก และปราณีตมาก เป็นกุศลชั้นดี ให้ผลมากและเร็ว
(ทานหรือบุญที่มีพระรัตนตรัยเป็นสรณะ มีศีล มีสมาธิเป็นบาทพื้นฐานถือว่ามีกำลังแรง ให้ผลเร็ว) 
             "เจตนาในกุศลที่เป็นไปเพื่อออกจากการเวียนว่ายตายเกิดเป็นกุศลที่สูงที่สุด"
             การให้ทานเป็นการสละความยึดมั่น ถือมั่นในทรัพย์ เป็นการอนุเคราะห์โลก เป็นเสบียงให้เกิดโภคสมบัติ ในกามสุคติภูมิมีมนุษย์และเทวดาเป็นต้นตลอดการเดินทางในวัฏฏะสงสาร ผู้มีทานกุศลน้อยย่อมเดือดร้อนเพราะทรัพย์ ขาดแคลน ขัดสน อดยาก ผู้ทำทานกุศลไว้มาก ย่อมบริบูรณ์ สมบูรณ์ด้วยทรัพย์อันเป็นเครื่องปลื้มใจ

            ๒.การรักษาศีล เป็นกุศลที่มีความปราณีตขึ้นมาอีกระดับ การตั้งใจงดเว้นจากบาปกรรมทั้งปวง มีการฆ่าสัตว์ เบียดเบียนสัตว์เป็นต้น การสมาทานศีล ๕ ศีล ๘ ในคฤหัสเพศฆราวาส เป็นอัธยาศัยแห่งการพ้นทุกข์ไปอีกขั้นหนึ่ง ผลของการรักษาศีลทำให้ไม่ต้องทุกข์ใจ ทุกข์กาย ไม่มีตำหนิมลทินในใจเพราะไม่มีบาปติดค้างใจ ผลของการเป็นผู้มีศีล ทำให้เป็นที่รักของคนที่อยู่ใกล้ชิด เป็นที่รักของมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย กลิ่นของศีลยังหอมทวนลมได้ เทวดาเป็นผู้ที่มีหิริ โอตัปปะ บุคคลที่รักษาศีลได้ดี ย่อมเป็นที่รักของเทวดาและอมนุษย์ด้วย ดังนั้นศีลเหมือนกับเสื้อเกราะที่จะคุ้มครองให้เราไม่เสียหายเพราะเจ็บป่วย ไม่ถูกทำลายทรัพย์ มีความเป็นผู้งดงาม ไม่ตกไปสู่โลกที่ชั่ว
         การรักษาศีลเป็นส่วนหนึ่งที่เป็นกุศลที่จะเข้ามาช่วยเหลือให้เราพ้นจากความทุกข์ได้

            ๓.การปฏิบัติธรรม เจริญกรรมฐาน สวดมนต์ภาวนา ก็เป็นกุศลที่สูงขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง เพราะการภาวนาเป็นเครื่องระงับซึ่งอกุศลธรรมบางอย่างไว้ได้ จนถึงขั้นเกิดปัญญาเห็นแจ้งในสภาวะธรรมประหาณกิเลสได้ตามกำลังของแต่ละท่าน แต่ถึงแม้ว่าจะทำอะไรกิเลสไม่ได้ก็ตาม ภาวนาก็มีผลช่วยระงับทุกข์ที่เกิดในใจได้ขณะหนึ่ง เพราะมีอารมณ์อยู่ในกรรมฐาน เมื่อมีอารมณ์อยู่ในกรรมฐานจิตก็ไม่ไปจดจ่ออยู่กับทุกข์ ดังนั้นการเจริญกรรมฐานจึงช่วยลดทุกข์หรือดับทุกข์ใจได้ การสวดมนต์สาธยายในพุทธคุณ ธัมมคุณ สังฆคุณ ก็มีอานิสงส์ทำให้ทุกข์ที่เบาๆ บางอย่างหมดไปได้ การสวดมนต์สาธยายในพระปริตรหลายๆบทก็ช่วยกำจัดภัย อันตรายได้
         เมื่อจิตมีสมาธิหรือมีความสงบขึ้น ย่อมเห็นหนทางในการแก้ปัญหาชีวิต เพราะความฟุ้งซ่านทำให้มืดมล ภาวนากุศลนี้จึงเป็นส่วนที่สำคัญในการแก้ทุกข์ได้ ทำให้เกิดแสงสว่างทางปัญญาทั้งทางโลกและทางธรรม

        วิธีแก้ทุกข์ หรือแก้ดวง-แก้กรรมอะไรก็ตาม ล้วนแล้วแต่ต้องอาศัยกุศลกรรมใหม่เท่านั้นที่จะเข้ามาเบียดเบียนหรือตัดรอนอกุศลวิบาก(ทุกข์)ที่กำลังให้ผลอยู่ การอ้อนวอนกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วย ถ้าตนเองไม่มีกุศลที่มีกำลังมากและให้ผลเพียงพอ ความทุกข์ก็ไม่อาจจะหมดไปได้โดยเร็ว ดังนั้นต้องตั้งใจทำความดีทุกประการ ต้องตั้งใจเปลี่ยนพฤติกรรม หันหน้ามาให้ทาน รักษาศีล สวดมนต์เจริญภาวนา ถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ไม่ปล่อยตัวปล่อยใจให้ไหลไปกับกองทุกข์ เมื่อมีความเพียรในการทำความดีแล้ว ย่อมได้รับความสุขในไม่ช้า บุคคลผู้มีศีลมีธรรมในยามที่ประสพทุกข์แม้ที่นั่งแห่งท้าวอัมรินทราทิราชยังร้อนได้ ถ้าเราทำดีถึงที่สุดแล้วก็จะพ้นทุกข์ได้ เพราะฉะนั้นอย่าไปจมอยู่กับทุกข์ ตั้งใจปฏิบัติตน ทำความดีให้ถึงที่สุด เปลี่ยนพฤติกรรมร้าย ดำรงตนอยู่ในศีล สวดมนต์เจริญภาวนาให้ใจสงบ ปัญญาหรือแสงสว่างก็จะเกิดแก่ตนเอง

วันอังคารที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2559

วิธีแก้ดวงเรื่องการเงินขัดสน

วิธีแก้ดวงเรื่องเงิน  
            หลายๆท่านที่มีปัญหาด้านการเงิน ขัดข้อง ขัดสน เสียหายเพราะเงิน เป็นเพราะอดีตที่เคยทำบุญให้ทานมาน้อย เพราะทานบารมีน้อย จึงทำให้เกิดความยากจน ขัดสนทรัพย์ วิธีที่จะให้การเงินเกิดความคล่องตัวหรือหมดปัญหาด้านเงินโดยเร็ว   ลองทำบุญแบบนี้ดูนะครับ
       ให้ทำบุญใส่บาตรหรือถวายปัจจัย ๔ (อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ยา ที่อยู่อาศัย) อย่างใดอย่างหนึ่งแก่พระสงฆ์ มากน้อยตามกำลัง ให้ตั้งเจตนาให้แรงกล้า ว่าจะทำบุญให้ทาน เพื่อให้พระท่านได้ใช้สอยสิ่งของของเรา อย่าทำบุญเพราะมุ่งหวังลาภผลที่จะเกิด แต่ให้ทำความเข้าใจว่า บุญที่จะทำนี้จะส่งผลให้เรา ชื่อในกรรม และผลของกรรม มีใจเคารพเลื่อมใสในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
      เมื่อเตรียมของที่จะไปถวายพระแล้ว ถ้าไปวัด ให้ไปที่หน้าพระพุทธรูปแล้ว สมาทานศีลต่อหน้าพระก่อน เมื่อสมาทานศีลแล้ว ก็ให้นั่งสมาธิสักครู่หนึ่ง เพื่อให้ใจสงบเป็นสมาธิ ถ้าไม่ได้ไปวัด ให้ตั้งใจนึกถึงภาพพระ แล้วตั้งในใจเองว่าจะรักษาศีล ๕ เมื่อตั้งใจรักษาศีลแล้ว ในขณะก่อนจะใส่บาตรหรือทำบุญ ให้พยายามทำจิตให้สงบสักพักนึง 
        เมื่อออกจากสมาธิแล้วก็ค่อยไปถวายของที่เตรียมไว้กับพระ โดยเราไม่เจาะจงพระ ถือว่าเป็นสังฆทาน ไม่เจาะจงผู้รับ เมื่อในขณะที่กำลังให้ พยายามให้กุศลจิตเกิดขึ้นอย่างมากที่สุด ให้เป็นสมาธิในขณะที่ทำบุญนั้น มีความเคารพนอบน้อมในบุคคลผู้ที่มารับสิ่งของนั้นๆ และเมื่อทำบุญเสร็จแล้ว ไปกรวดน้ำ ในขณะที่กรวดน้ำก็ให้น้อมจิตไปว่าวันนี้เราได้กระทำบุญอย่างนั้นๆ ให้มโนภาพที่เราได้ทำบุญเมื่อสักครู่เกิดขึ้น เราจะได้มีความปีติ ปราโมทย์ ในบุญที่เราทำ

      เมื่อเรามีกุศลจิตที่เข้มแข็งดีพร้อมแล้ว ทั้งก่อนที่เราจะได้ทำบุญ และในขณะที่เรากำลังทำบุญอยู่นั้น กุศลจิตคือความตั้งใจ ความนอบน้อมในวัตถุสิ่งของและบุคคลผู้มารับวัตถุทานนั้น และเมื่อได้ทำแล้ว คิดถึงบุญนั้นแล้วก็เกิดความปลื้ม ปีติ ในบุญที่ได้ทำไป ผลที่เกิดขึ้นทั้งสามกาล คือก่อนทำ ขณะที่ทำ และหลังจากที่ทำแล้ว จิตเราตั้งอยู่ในกุศลแบบนี้ ทานที่ทำย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก และอาจจะให้ผลเร็วกว่าทานที่ทำแบบไม่ได้ตั้งเจตนาไว้แบบนี้

         บุญที่เกิดขึ้น จากการให้ การสละทรัพย์ สิ่งของนี้ มีศีลเป็นเครื่องรองรับ มีสมาธิเป็นกำลัง คนที่ทำบุญโดยเพิ่งออกจากสมาธิ ถือว่าได้บุญมาก (ถ้าไม่สามารถนั่งสมาธิได้ ก็ให้ทำจิตให้นิ่ง พยายามกำหนดลมหายใจสักนาทีสองนาทีแล้วจึงไปใส่บาตรหรือทำบุญ)

วันพุธที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2559

จงทำบุญในขณะที่ชีวิตมีความสุข


จงทำบุญในขณะที่ชีวิตมีความสุข
    จงทำบุญให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา เสียตั้งแต่ดวงยังไม่ตกหรือยังไม่มีความทุกข์ เพราะบุญ เมื่อทำในขณะที่จิตใจผ่องใสย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก ดังนั้นในขณะที่เราท่านทั้งหลายมีชีวิตที่ปกติสุข จงอย่าประมาท ควรให้ทาน รักษาศีล เจริญจิตตภาวนาเสียให้มั่นเหมาะ เพราะในยามที่ดวงตกหรือกำลังมีความทุกข์ ทำบุญไม่ได้อานิสงส์เร็วหรือไว หรือแทบไม่เห็นผลเลย เพราะอะไร ? เพราะในขณะนั้นจิตใจเศร้าหมอง หดหู่ ไม่มีกำลังที่จะทำให้ปีติ ปราโมทย์ในบุญที่ทำเกิดขึ้นมีกำลังมากพอ ดังนั้นทานก็ดี ที่ทำแล้ว ย่อมได้ผลน้อย มีอานิสงส์น้อย เพราะใจมัวไปผูกพันกับเรื่องที่เศร้า เสียใจ ในขณะนั้น ดังนั้นชีวิตควรตั้งอยู่ในความไม่ประมาท เพราะช่วงชีวิตคนบางคนก็เกิดจุดหักเหของชีวิตอย่างรวดเร็ว พลิกผัน เหมือนตกจากยอดเขาลงสู่เหวลึก  เพราะอกุศลวิบากบางอย่างที่ทำไว้ในอดีตตามมาให้ผล หากไม่มีเสบียงคือบุญกุศลที่ทำไว้แล้วเข้าอุดหนุน ผู้นั้นย่อมประสบทุกข์นาน หรืออาจจะไม่สามารถทรงชีวิต ลมหายใจอยู่ได้ 

         ดังนั้นจงหมั่นทำบุญด้วยการบริจาคทรัพย์หรือสิ่งของ อาหาร แก่คนยากจน คนที่ตกทุกข์ได้ยาก ผู้ประสบภัย หรือสัตว์ต่างๆ เป็นทานกุศล เป็นทานบารมี ทานเป็นเหตุที่ทำให้เกิดโภคสมบัติ เหมือนเสบียงในการเดินทางอยู่ในวัฏฏะสงสาร ทำให้บริบูรณ์ด้วยอาหาร และทรัพย์เครื่องปลื้มใจ
         ศีลเป็นดั่งเสื้อเกราะ ที่คุ้มครองตนไม่ให้ตกไปสู่โลกที่ชั่ว มีอบายภูมิทั้ง ๔ 
         ส่วนภาวนา จะเป็นสมถะหรือวิปัสสนาก็ดี เหมือนอาวุธ ที่คอยข่มหรือประหาณกิเลส 
         ทั้งสามนี้ควรทำให้มาก เจริญให้มากตั้งแต่ในสมัยที่เรายังไม่มีทุกข์ ไม่มีภัยเบียดเบียน อย่าทำบุญเอาเมื่อยามร้าย หรือในขณะที่จิตใจเศ้ราหมอง ท้อแท้เลยนะครับ

วันศุกร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2559

อุทิศบุญให้เทวดา

ปัตติทานะคาถา
........            ยา เทวะตา สันติ วิหาระวาสินี
.......... .........ถูเป ฆะเร โพธิฆะเร ตะหิง ตะหิง
.......... .........ตา ธัมมะทาเนนะ ภะวันตุ ปูชิตา
.......... .........โสตถิง กะโรนเตธะ วิหาระมัณฑะเล
.......... .........เถรา จะ มัชฌา นะวะกา จะ ภิกขะโว
.......... .........สารามิกา ทานะปะตี อุปาสะกา
.......... .........คามา จะ เทสา นิตะมา จะ อิสสะรา
.......... .........สัปปาณะภูตา สุขิตา ภะวันตุ เต
.......... .........ชะลาพุชา เยปิ จะ อัณฑะสัมภะวา
.......... .........สังเสทะชาตา อะถะโวปะปาติกา
.......... .........นิยยานิกัง ธัมมะวะรัง ปะฏิจจะ เต
.......... .........สัพเพปิ ทุกขัสสะ กะโรนตุ สังขะยัง ฯ
ฐาตุ จิรัง สะตัง ธัมโม
สังโฆ โหตุ สะมัคโค วะ
อัมเห รักขะตุ สัทธัมโม
วุฑฒิง สัมปาปุเณยยามะ
..........ปะสันนา โหนตุ สัพเพปิ
สัมมา ธารัง ปะเวจฉันโต
วุฑฒิภาวายะ สัตตานัง
มาตา ปิตา จะ อัต์ระชัง
เอวัง ธัมเมนะ ราชาโน
ธัมมัทธะรา จะ ปุคคะลา
อัตถายะ จะ หิตายะ จะ
สัพเพปิ ธัมมะจาริโน
ธัมเม อะริยัปปะเวทิเต ฯ
ปาณิโน พุทธะสาสะเน
กาเล เทโว ปะวัสสะตุ
สะมิทธัง เนตุ เมทะนิง
นิจจัง รักขันติ ปุตตะกัง
ปะชัง รักขันตุ สัพพะทา ฯ

https://www.youtube.com/watch?v=5rno_pN2dms
https://www.youtube.com/watch?v=5rno_pN2dms


      บุคคลเมื่อกระทำบุญแล้ว ควรอุทิศนั้นให้เทวดาด้วย เมื่อเทวดาได้รับการอนุโมทนาบุญแล้ว ย่อมตามรักษาผู้นั้น บุคคลผู้ที่เป็นที่รักของเทวดา ย่อมได้รับความสุข และมีความสวัสดิีมงคล 
     ดังนั้น คนที่ดวงไม่ดี หรือดวงตก มีชีวิตที่ไม่ราบรื่น ประสบปัญหาหรือมีเคราะห์กรรม ต้องตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท ถือศีล เจริญสมาธิปฏิบัติธรรม กุศลในการถือศีลและเจริญพระกรรมฐาน การสวดมนต์มีพระพุทธคุณเป็นต้น ย่อมเปลี่ยนสิ่งที่ร้ายให้กลายเป็นดีได้อย่างรวดเร็ว ด้วยอำนาจแห่งพุทธานุภาพนั้น ด้วยอำนาจของศีล ด้วยอำนาจของเทวตานุภาพ ย่อมทำให้บุคคลที่กำลังต้องทุกข์ ลำบาก สามารถพ้นจากทุกข์นั้นๆได้


วันเสาร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2559

ดวงตก อะไรๆก็แย่


ในยามที่ดวงตก
     ในเวลาที่ดวงตก อะไรๆมันก็พาลเสียหายไปหมด ชะตาดวงตัวอย่างนี้เมื่ออายุ 15 ปี ตระกูลของเจ้าชะตาเกิดภาวะปัญหาหนี้สิน ถึงขั้นต้องล้มเลิกกิจการ ในตอนนั้นเจ้าชะตาอายุย่าง 15 ปี มีปัญหาชีวิตอะไรหลายๆอย่างที่เข้ามากระทบตัวเจ้าชะตา ทำให้เจ้าชะตาเกิดความเสียหาย อีกทั้งสิ่งที่เลวร้ายคือต้องถูกกดขี่ทางเพศอีกด้วยซ้ำ

    จากดวงกำเนิด ปี 2551 เป็นปีชวด ในดวงตก กาลกิณี  อริ เพชฌฆาต จุดนี้เป็นจุดที่ทำให้เจ้าชะตาเกิดปัญหาชีวิตมากมาย เป็นจุดของความพลิกผันอย่างหนึ่ง สิ่งที่ร้ายๆ ปัญหา อุปสรรค มลทิน หนี้สินต่างๆ ในขณะนั้นอายุจรย่าง 15 ไปตกที่ภูมิจันทร์ ซึ่งเป็นเรือนที่ดี มีพระคาถาคำว่าปัตนิ แต่ผลที่ปรากฎคือ เธอถูกล่วงละเมิด ต้องตกใจเสียใจ แต่ดาวดีมีอยู่ ทั้งยุคใหญ่ก็อยู่ในตำแหน่งที่ดี ทำให้มีเรื่องของเงินเข้ามาชดเชย ทำให้หลังจากนั้นมีเงินเข้ามามาก สามารถเปลี่ยนวิถีหนี้ให้หมดไปได้ แต่สิ่งที่ได้รับมาคือตราบาป มนทิล

วันพฤหัสบดีที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2559

หมอดูไม้วิเศษ



หมอดูไม้วิเศษ
        วิชาหมอดูไม้วิเศษ เป็นหนึ่งในวิชาของวิชาทักษามหายุคศาสตร์ ซึ่งเป็นความเมตตาของท่านอาจารย์ส.สัจจญาณ ที่พยายามถ่ายทอดวิชาทักษามหายุค โดยผ่านไม้แท่งเล็กๆที่จัดวางในช่องถาดไม้สี่เหลี่ยม ที่มีช่องอยู่หลายๆช่อง อันเป็นตัวแทนของภพภูมิในพระคาถาต่างๆ เพื่อให้ง่ายแก่การเรียนรู้ของนักเรียนที่ไม่สามารถมองเห็นด้วยตา อาจารย์ส.สัจจญาณ เป็นผู้ที่มีความเมตตาเป็นอย่างสูง ได้ถ่ายทอดเทคนิคการพยากรณ์ดวงชะตาให้แก่นักศึกษา เพื่อจะได้นำไปใช้เป็นอาชีพอย่างชาญฉลาด และสามารถพยากรณ์ได้อย่างแม่นยำ อันเกิดจากนิมิตกรรมในขณะปัจจุบัน ผสมผสานกับดวงกำเนิดและดวงวัน วิชานี้เป็นวิชาที่ได้ถ่ายทอดอยู่ในกลุ่มเล็กๆที่สมาคมคนตาบอดบ้าง และคนที่มีความรักและเคารพในอาจารย์บ้าง ซึ่งเป็นวิชาที่เรียนรู้ได้ไม่ยากนัก หากมีความใส่ใจและตั้งใจจริง
      
อาจารย์จารุพันธ์ สุวัตถิกุล ได้เมตตาสอนวิชาไม้วิเศษที่ได้รับมาจากอาจารย์ ส.สัจจะญาณ เมื่อ ๓๐ ปีกว่าที่แล้วให้แก่ข้าพเจ้าและคณะศิษย์รุ่นต่อๆมา

       ขอกราบบูชาคุณอาจาริยะไว้ณ.โอกาสนี้ ด้วยความเคารพยิ่ง